วัฒนธรรมญี่ปุ่น
1.ศาสนาในญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใจกว้างในเรื่องศาสนา
ชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันไม่ได้ยึดติดกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
ไม่แปลกเลยที่คู่สมรสซึ่งเพิ่งแต่งงานใหม่
จะทำพิธีบอกกล่าวบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วที่หิ้งบูชา ตามแบบของชาวพุทธ
แต่ทำพิธีแต่งงานตามแบบชาวคริสต์ และไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าชินโต
ในระหว่างการไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ไม่แปลกอะไรที่คนญี่ปุ่นจะพาลูกสาวอายุ 3 ขวบ ลูกชายอายุ 5 ขวบและลูกสาวอายุ 7 ขวบไปที่วัดชินโต ทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน
เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง แต่จัดงานศพในวัดพุทธ หรือร่วมฉลองเทศกาลคริสต์มาสอย่างสนุกสนานพิธีกรรมหรือประเพณีต่าง
ๆ ทางศาสนานั้น ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
มากกว่าความหมายทางศาสนา ซึ่งคนญี่ปุ่นก็สามารถปฏิบัติตามประเพณีต่าง ๆ
ของศาสนาที่แตกต่างกันได้ โดยไม่มีความรู้สึกขัดแย้งแต่อย่างใด นอกจากนั้น
ศาสนาชินโต ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของญี่ปุ่น ไม่กีดกันหรือใจแคบกับศาสนาอื่น
และการนำพุทธศาสนา ลัทธิขงจื้อ และคริสตศาสนานิกายคาธอลิค
เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 17 ก็สร้างความบาดหมาง ระหว่างผู้ที่นับถือศาสนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในประวัติศาสตร์ทางศาสนาของญี่ปุ่นนั้น มีการสู้รบกันเพราะสาเหตุทางศาสนาค่อนข้างน้อยครั้ง
ลักษณะอีกสองประการของศาสนาในญี่ปุ่นคือ
ยินยอมให้ผู้ที่นับถือศาสนาที่ต่างกันแต่งงานกันได้
และไม่สอนศาสนาในโรงเรียนโดยทั่วไปวัดญี่ปุ้น วัดญี่ปุ่น
พระญี่ปุ่นจากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา
ศาสนาในญี่ปุ่นถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย
เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน
แต่งงานในโบสถ์คริสต์และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ
และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่นลัทธิเทนริเกียว
และลัทธิโอมชินริเกียวศาสนาชินโต
ศาสนาชินโตเป็นศาสนาที่เก่าแก่หรือเกิดมาพร้อมกับชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ คำว่า “ชินโต” หมายถึงวิถีของพระเจ้า
ศาสนาชินโตมีความเชื่อที่ว่าวัตถุทุกอย่างในธรรมชาติและปรากฎการณ์ต่าง ๆ
มีวิญญาณหรือเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นความเชื่อแบบลัทธิภูติผี
ผสมผสานกับการบูชาบรรพบุรุษตามความเชื่อในศาสนาพุทธ คำสั่งสอนในศาสนาชินโต
นอกจากจะให้เคารพบรรพบุรุษแล้ว ก็ยังสอนให้เด็กรู้จักนบนอบต่อผู้ใหญ่
คนหนุ่มต้องเคารพนบน้อมต่อผู้สูงอายุ ผู้หญิงต้องเคารพผู้ชายซึ่งได้กลายมาเป็นระเบียบประเพณีที่ภรรยาต้องอยู่ในอำนาจของสามี
การที่ชาวญี่ปุ่นโค้งให้กันอย่างอ่อนน้อมหลายครั้งนั้น
ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความสุภาพอ่อนน้อม
ซึ่งเป็นผลมาจากศาสนาชินโตนี่เองศาสนาพุทธ
พุทธศาสนา เผยแผ่สู่ประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านประเทศจีนและเกาหลี ในประมาณกลางศตวรรษที่ 6 ในช่วงที่ศาสนาพุทธนิกายมหายานมาถึงญี่ปุ่น คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ถูกปรับเปลี่ยนไปมากแล้ว และยิ่งเปลี่ยนแปลงมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเผชิญ กับความเชื่อดั้งเดิมที่คนญี่ปุ่นนับถือกันอยู่ อย่างไรก็ตาม พุทธศาสนาได้ส่งอิทธิพลอย่างมากมายต่อญี่ปุ่นในเวลาต่อมา ในปัจจุบันศาสนาพุทธในญี่ปุ่นแตกออกเป็น 56 นิกายใหญ่และอีก 170 นิกายย่อย ในวัดพุทธมีพระพุทธรูป( บุทสึโซ ) ผู้คนที่มาวัดจะจุดธูปบูชาเบื้องหน้าพระพุทธรูป ครอบครัวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยตั้งแท่นบูชาพระและแท่นบูชาบรรพบุรุษไว้ในบ้าน ปีใหม่ก็ยังคงนิยมไปไหว้ขอพรที่วัดศาสนาพุทธกันอย่างเนืองแน่น
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์เผยแผ่มายังญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปี
ค.ศ.1549 โดยกลุ่มมิชชันนารี นิกายคาทอลิก
เนื่องจากบรรดาไดเมียวเจ้าผู้ครองแคว้นเห็นแก่ผลประโยชน์จากการค้าขายกับต่างประเทศ
ที่จะได้รับเข้ามาพร้อม ๆ กับบาทหลวง จึงให้การต้อนรับพวกมิชชันนารีเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปัจจุบันมีผู้นับถือศาสนาคริสต์ไม่มากเท่าใดนัก
แต่ศาสนาคริสต์มีบทบาทในด้านการศึกษาอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาของสตรีและการศึกษาในระดับมัธยม
ในปัจจุบันมีโรงเรียนคริสต์ราว 800
โรงเรียน มากกว่าโรงเรียนของศาสนาอื่น ๆ
2.วัฒนธรรม
ญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรมยุคโจมงซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ
จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น อิเกะบะนะ (การจัดดอกไม้) โอะริงะมิ
อุกิโยะ-เอะ ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา การแสดง เช่น คะบุกิ โน
บุนระกุ ระกุโงะ และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น พิธีชงชา ศิลปการต่อสู้
สถาปัตยกรรม การจัดสวน ดาบ และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก
นำไปสู่การสร้างสรรค์มังงะหรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่นแอนิเมชันที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า
อะนิเมะ วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523ผู้หญิงญี่ปุ่น ซูโม่ ตุ๊กตาญี่ปุ่น
3.ดนตรี
ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี
รวมทั้งจากโอะกินะวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น บิวะ โคะโตะ
ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7
และชะมิเซ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอะกินะวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่
21 ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย
เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอะโดะริ เพลงกล่อมเด็ก
ดนตรีตะวันตกเริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม
ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก
ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า เจ-ป็อป
ญี่ปุ่นมีนักดนตรีคลาสสิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น วาทยากร เซจิ โอะซะวะ
นักไวโอลิน มิโดะริ โกะโต เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟนทั่วไปในญี่ปุ่น
นักดนตรีญี่ปุ่น
นักดนตรีญี่ปุ่น ดนตรีญี่ปุ่น
4.วรรณกรรม
วรรณกรรมญี่ปุ่นชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ โคะจิกิ และ
นิฮงโชะกิ และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ มังโยชู ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด ในช่วงต้นของยุคเฮอัง
มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า คะนะ (ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ)
นิทานคนตัดไม้ไผ่ ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น
ตำนานเก็นจิ ที่เขียนโดยมุระซะกิ
ชิกิบุมักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลกระหว่างยุคเอโดะ
วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับ โชนิน ชนชั้นประชาชนทั่วไป
ตัวอย่างเช่น โยะมิฮง
กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน
ในสมัยเมจิ วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง
ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น โซเซะกิ นะสึเมะและโองะอิ
โมริเป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น ตามมาด้วย ริวโนะซุเกะ อะคุตะกะวะ, ทะนิซะกิ จุนอิชิโระ, ยะซุนะริ คะวะบะตะ, มิชิมะ ยุกิโอะ และล่าสุด ฮะรุกิ
มุระกะมิ ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2 คน ได้แก่ ยะซุนะริ คะวะบะตะ (พ.ศ. 2511) และ เค็นซะบุโร โอเอะ (พ.ศ. 2537)วรรณกรรมญี่ปุ่น อักษรญี่ปุ่น ญี่ปุ่น
อ้างอิง: http://www.japan-expert.com
มารยาทคนญี่ปุ่น
– educatepark.com
การใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น
สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงคือมารยาท และธรรมเนียมปฏิบัติของญี่ปุ่น
เรื่องเหล่านี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้และฝึกจนเป็นนิสัยไปทีละเล็กละน้อย
ในการใช้ชีวิตแต่ละ วันที่ญี่ปุ่นเวลานัดกับใครต้องรักษาเวลา
เมื่อไปไม่ได้หรือไปไม่ตรงตามนัดต้องแจ้งให้ ทราบล่วงหน้า
ถ้าไม่รักษาสัญญาจะทำให้อีกฝ่ายขาดความเชื่อถือ และตอนแรก ๆ
คนญี่ปุ่นมักจะไม่ค่อยคุยด้วยเนื่องจายังไม่คุ้นเคยกัน
แต่เมื่อสนิทกันแล้วก็จะยอมรับ และเปิดใจมากยิ่งขึ้น
คนญี่ปุ่นมักจะมีเพื่อนหลายกลุ่ม ในหนึ่งวันเขาอาจจะพบเพื่อนจากที่โรงเรียน
ที่ทำงาน เพื่อนเที่ยวแตกต่างกันไปทั้งวัน
ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงดูไม่ค่อยสนิทกันมากนัก
และโดยปกติผู้ชายญี่ปุ่นมักจะทำงานหนักไม่ว่าจะก่อน หรือหลังแต่งงาน
และมักจะทำงานกันจนดึกจนดื่นจนคล้ายกับว่าไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว
เพราะเป็นวัฒนธรรมการทำงานของคนญี่ปุ่นก็ว่าได้ที่ทุกคนจะต้องทุ่มเทกับงานให้เต็มที่
5. การใช้ภาษากับระดับความสัมพันธ์
สังคมของคนญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญต่อกลุ่มและสมาชิกในกลุ่มโดยมีสถานที่เป็นตัวบ่งบอกคนที่อยู่อาศัยในที่เดียวกันหรือทำงานในที่เดียวกันนั้นถือว่าเป็นพวกเดียวกันเรียกว่า(อุชิ)
และสำหรับคนที่อยู่ต่างสถานที่ต่างบริษัท
ต่างประเทศจะถือว่าเป็นคนนอกหรือคนอื่นเรียกว่า(โซโตะ)
คนญี่ปุ่นจะใช้ภาษาและการปฎิบัติตนที่แตกต่างไปจากต่อคนที่อยู่ในสังกัดเดียวกัน
โดยจะใช้ภาษาที่สุภาพและการถ่อมตนกับผู้ที่เป็นผู้อื่น
แม้ว่าตนเองจะไม่รู้สึกยกย่องคนๆนั้นก็ตาม
การใช้ภาษาของคนญี่ปุ่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เราเห็นลักษณะความสัมพันธ์ของคนญี่ปุ่นในสังคมได้ว่าคู่ที่สนทนาอยู่มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ใครอาวุโสกว่าใครหรือสนิทสนมกันแค่ไหนเป็นกลุ่มเดียวกันหรือคนละกลุ่มเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
การใช้ภาษาในการพูดของคนญี่ปุ่นนั้นเมื่อพูดเรื่องของตนเองรวมไปถึงการกล่าวถึงสิ่งอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับตนเองแล้วคนญี่ปุ่นจะต้องใช้คำถ่อมตนเมื่อพูดกับคนอื่น
และคำยกย่องเพื่อยกย่องคู่สนทนาด้วย
การให้ความสำคัญกับบุคคลอื่นในสังคมเป็นลักษณะเด่นของคนญี่ปุ่น
ทำให้คนญี่ปุ่นเป็นคนระมัดระวังและให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของผู้อื่นอย่างมาก
ในการใช้ภาษา การแสดงความใส่ใจของคู่สนทนา
เช่นการใช้ถ้อยคำและกริยาต่างๆสอดแทรกเพื่อแสดงความสนใจต่อคู่สนทนา
หรือพูดประโยคลอยๆค้างไว้เพื่อให้คู่สนทนามีโอกาศได้สอดแทรกสานประโยคให้จบซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คู่สนทนามีส่วนร่วมในสิ่งที่ตนพูดด้วย
หรือการพูดแบบอ้อมค้อมไม่ชี้บ่งบอกอะไรไปตรงๆ
หรือละความเอาไว้ให้ผู้สนทนาด้วยคิดเอาเอง และในการสนทนากับคนญี่ปุ่นจะเป็นการเสียมารยาทมากถ้าเราไม่เอ่ยถึงการกระทำของผู้นั้นที่ส่งผลดีต่อเราและต้องใช้สำนวนที่รู้สึกสำนึกบุญคุณต่อการกระทำนั้นๆด้วย
เช่นขอบคุณที่ได้เกื้อหนุนอุ้มชูเราอยู่เสมอ หรือ วันก่อนต้องขอขอบพรคุณมาก
(อาจจะไม่ได้ทำอะไรให้) แต่เป็นมารยาทที่ควรจะพูดตามธรรมเนียมของคนญี่ปุ่น
6. วิธีการตอบปฏิเสธของคนญี่ปุ่นที่มีลักษณะเฉพาะ
ในการคบหากัน
คนญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญต่อ “ความสอดประสานกลมกลืนกัน” ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคลเป็นอย่างยิ่ง
และด้วยเหตุนี้
คนญี่ปุ่นจึงไม่ชอบที่จะทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์เพราะการปฏิเสธอย่างชัดแจ้ง
เช่น เมื่อจะปฏิเสธคำเชิญชวนหรือคำแนะนำ จะเลี่ยงไปตอบด้วยการพูดว่า “chotto…” ซึ่งก็คือ “ออกจะ…” แล้วก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า “ไม่สะดวก” คำว่า “chotto”ไม่ได้ใช้เฉพาะในการเรียกความสนใจเท่านั้น
แต่ยังใช้ในเวลาที่อยากจะปฏิเสธด้วย
เป็นสำนวนที่สะดวกมากแม้แต่ในสถานการณ์เกี่ยวกับธุรกิจ สำนวนอ้อม ๆ ก็ใช้บ่อย เช่น
ในกรณีที่จะปฏิเสธข้อเจรจาทางธุรกิจกับคู่เจรจา สำนวนที่ใช้บ่อยคือ “kentô shitemimasu” ซึ่งมีความหมายว่า “จะลองพิจารณาดู” แต่จริง ๆ แล้ว มีความหมายว่า “กรุณาอย่าคาดหวังการตอบรับ” รวมอยู่ด้วย
7. การโค้ง
การโค้งในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า
“Rei” (れい/เร) หรือ “Ojigi” (/おじぎ/โอจิกิ) ชาวญี่ปุ่นไม่นิยมไหว้แบบคนไทย
หรือจับมือแบบฝรั่ง แต่จะนิยมโค้งแทนในเวลาที่พบหรือลา
ประเพณีการโค้งของคนญี่ปุ่นนับว่าซับซ้อนพอควร เช่น
การโค้งควรจะต่ำเพียงไรและโค้งได้นานเท่าไร หรือโค้งเป็นจำนวนกี่ครั้ง
และโค้งในโอกาสอะไร เช่น ผู้อาวุโสก้มให้ลึก แต่ถ้าระดับเท่ากันโค้งพองาม
นอกจากโค้งเวลาพบกันหรืออำลาจากกันแล้ว สามารถโค้งเมื่อต้องการขอบคุณ
มารยาทคนญี่ปุ่นการโค้งทักทาย
(Eshaku/えしゃく/ อิชิคุ) คือ
การทักทายกับผู้ที่สนิทแบบเป็นกันเอง วิธีการคือ ก้มตัวทำมุมประมาณ 15 องศา
การโค้งเคารพแบบธรรมดา
(Futsuu Rei/ふつう/ ฟุสึยุ) คือ
การทักทายกับผู้ที่เรารู้จัก หรือพนักงานขายกับลูกค้า วิธีการคือ ก้มตัวประมาณ 30 องศา
การโค้งเคารพแบบนอบน้อม
(Saikei Rei/さつうれい/ ซาอิเครอิ เรอิ) คือ
การให้ความเคารพกับผู้ใหญ่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า หรือเจ้านายที่มีตำแหน่งสูง
วิธีการคือ ก้มตัวประมาร 45 องศา กับแนวเส้นตรง
8. รับเชิญไปบ้านคนญี่ปุ่น
เมื่อคุณได้รับเชิญไปบ้านคนญี่ปุ่น
นับว่าเป็นเกียรติมาก
เพราะคนญี่ปุ่นจะคิดว่าบ้านตนเองเล็กคับแคบและไม่ค่อยจะรับแขกที่บ้าน
แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง ดังนั้นร้านอาหาร กาแฟ จึงเป็นที่นิยมมาก
เมื่อคุณได้รับเชิญแล้วอย่าลืมนำของฝากเล็กๆน้อยๆติดมือไปฝากเจ้าของบ้านด้วย
อาจเป็นผลไม้ ดอกไม้ ขนม เพื่อแสดงถึงน้ำใจ
หากเป็นการเชิญรับประทานอาหารคุณอาจซื้อเป็นเหล้าไปฝาก
เพราะที่รู้ชายและหญิงมักนิยมดื่มสุรา
อย่านำเพื่อนตามไปเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่นโดยไม่ได้รับเชิญ
เจ้าของบ้านจะอึดอัดและเป็นการไม่สุภาพ หลังจากไปเยี่ยมบ้านเขาแล้วอย่าลืมโทรศัพท์หรือส่งจดหมายไปขอบคุณ
และเมื่อพบกันครั้งต่อไป อย่าลืมขอบคุณที่เขาเคยชวนไปบ้าน
9. มารยาทเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่น
เมื่อไปเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะผู้ใหญ่
สิ่งที่ควรระวังก็คือเวลา ไม่ควรจะเยี่ยมบ้านตอนเวลาทานอาหาร
นอกจากว่าเจ้าของบ้านชวนให้มาทานอาหารกันที่บ้าน
คนญี่ปุ่นถือว่าการเยี่ยมบ้านคนอื่นตอนเวลาทานอาหารเป็นสิ่งที่เสียมารยาท
ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเยี่ยมก็คือตอนสายๆหรือตอนบ่าย
ไม่ควรเป็นตอนเย็นมากด้วย เพราะแม่บ้านเขาคงจะต้องเริ่มเตรียมอาหารเย็น
ถ้าโดยบังเอิญไปถึงบ้านเขาในขณะเขาทานอาหารอยู่พอดี เราก็ควรจะบอกว่า Oshokuji chuu ni ojamashite
moushiwake arimasen (ขอโทษที่รบกวนเวลาทานอาหาร) และควรจะรอที่ห้องอื่น
ตามปกติเจ้าของบ้านก็จะไม่ชวนกินข้าวด้วยกัน (อันนี้ไม่เหมือนกับเมืองไทย)
เพราะว่าเจ้าของบ้านไม่ได้เตรียมอาหารอย่างดีสำหรับแขก และตามปกติคนที่จะเยี่ยมก็ต้องทานข้าวให้เสร็จมาก่อนที่จะเยี่ยมอยู่แล้ว
ตอนไปเยี่ยมบ้านผู้ใหญ่
ควรจะนำของฝากสักอย่างก็ถือว่าเป็นมารยาทดี
ตามปกติแล้วของฝากในกรณีเยี่ยมบ้านคนอื่น
ควรเป็นขนมแบบที่ใส่ในกล่องสวย(ไม่ใช่ที่ใส่ในถุงพลาสติกธรรมดา) หรือขนมแค้ก
ที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีร้านขายขนมแบบสวยงามที่ใส่กล่องดีๆเยอะ
เพราะว่าในมารยาทญี่ปุ่นก็จะมีโอกาสใช้กันบ่อย
ซึ่งขนมแบบนี้ไม่ใช่เป็นขนมสำหรับผู้ซื้อเพื่อกินเอง
แต่สำหรับของฝากในการเยี่ยมคนอื่นมากกว่า
10. รองเท้า
คนญี่ปุ่นถือเรื่องเท้าคล้ายคลึงกับคนไทย
เช่น ห้ามสวมรองเท้าในบ้าน วัด โรงแรมแบบญี่ปุ่น (りょかん/Ryokan ) รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์
ร้านหรือห้องอาหารบางแห่ง
โดยปรกติแล้วจะมีการเตรียมรองเท้าแตะไว้ให้ก่อนเข้าบริเวณที่ห้ามสวมรองเท้า
แต่ถ้าเป็นพื้นที่ปูเสื่อตะตะมิ แม้รองเท้าแตะก็ต้องถอดก่อนขึ้นไปนั่งหรือเดิน
ให้ถอดรองเท้าไว้ที่เกงคัง (บริเวณหน้าบ้าน สำหรับไว้ถอดรองเท้าก่อนขึ้นบ้าน)
โดยให้ปลายรองเท้าหันไปทางด้านประตูเท่านั้น
นอกจากนี้เวลาเข้าห้องน้ำจะมีรองเท้าแตะที่จัดไว้ใช้เฉพาะสำหรับห้องน้ำ
11. มารยาทบนโต๊ะอาหาร
การเรียนต่อญี่ปุ่นนั้น
นักเรียนอาจมีโอกาสได้เข้าร่วมรับประทานอาหารกับชาวญี่ปุ่น
ดังนั้นการเรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารนั้น
จึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาไว้เป็นความรู้ที่ติดตัวไปด้วย
ก่อนเริ่มรับประทานอาหารทุกครั้ง นักเรียนจะต้องพูดคำว่า いただきます Itadakimasu และพูดคำว่า
ごちそうさまでした Gochisousama deshita เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว
การพูดคำนี้ถือว่าเป็นธรรมเนียมที่ต้องทำและมีความหมายในเชิงขอบคุณ
ซึ่งตามปกติชาวญี่ปุ่นถือว่าการเริ่มทานข้าวก่อนคนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าบ้านเป็นสิ่งที่เสียมารยาท
ขณะรับประทานอาหาร คนญี่ปุ่นมักจะพูดคำว่า Oishii ซึ่งแปลว่าอร่อย
เพื่อชมผู้ปรุงอาหารและถือเป็นการขอบคุณด้วยตามมารยาทของคนญี่ปุ่นแล้ว ควรจะทานข้าวให้หมดชาม
ถ้าเป็นอาหารชุดก็ควรจะทานทุกอย่าง
ยกเว้นแต่ว่าจะทานไม่ไหวแล้วจริง ๆ
และก่อนเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบหรือเก็บอะไร
ควรจะขออนุญาตจากครอบครัวก่อน
ชาวญี่ปุ่นนั้นแทบทุกบ้านจะใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหาร
การปฎิบัติเหล่านี้บนโต๊ะอาหารเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
1. การกำตะเกียบเป็นกิริยาที่ไม่ดี
2. การจับตะเกียบและถ้วยข้าวด้วยมือเดียวกัน
3. “ โยเซบาฉิ” (よせばし)การเลื่อนชามไปข้างหน้าด้วยตะเกียบ (จะโยกย้ายอะไรก็ใช้มือให้สุภาพเข้าไว้)
4. “ ซึคิบาฉิ” (すきばし)การเสียบอาหารด้วยตะเกียบ
5. “ ซากุริบาฉิ” การเลือกอาหารที่มีรสอร่อย
หรือน่ากินในจานอาหาร (อย่าลืมว่าใครๆก็อยากรับประทานของอร่อยในจานเหมือนกัน
อย่าเผลอเลือกรับประทานคนเดียวจนหมด)
6. “ มาโยอิบาฉิ”(まよいばし) การถือตะเกียบจดๆจ้องๆไตร่ตรองถึงสิ่งที่จะรับประทานอาหารบนโต๊ะอาหาร
(หรือพูดง่ายๆว่าก็เล็งรับประทานอะไรไว้ก็มุ่งหนีบรับประทานซะดีกว่า
เลือกไปเลือกมาดูเหมือนจะทิ้งของที่ไม่อร่อยให้คนอื่นรับประทาน
ชาวญี่ปุ่นเป็นอะไรที่เก็บความรู้สึก ถึงอยากรับประทานก็ต้องมีมารยาทไว้ก่อน)
7. การเสียบตะเกียบไว้บนข้าวก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรปฎิบัต
8. ห้ามหยิบตะเกียบจนกว่าผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งจะหยิบขึ้นมาก่อน
9. ห้ามขูดเม็ดข้าวจากตะเกียบ
10. ห้ามทานอาหารจากซุปโดยไม่ยกชามซุปขึ้นจากถาด
11. ห้ามตักอาหารจากจานซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกฟากหนึ่งโดยที่ไม่ยกจานขึ้นมา
12. ห้ามยกจานทางขวามือด้วยมือซ้าย
หรือยกจานทางซ้ายมือด้วยมือขวา
13. ห้ามหยิบอาหารที่มีซอสเหลวๆวางบนข้าว
หรือทานข้าวราดน้ำซอส
14. ห้ามหยิบและกัดอาหารซึ่งไม่อาจจะทานได้ในคำเดียว
ขอให้แบ่งเป็นชิ้นเล็กๆด้วยตะเกียบ
15. การแชร์กันออกค่าอาหาร
คนญี่ปุ่นก็จะมีการแชร์กันออกค่าใช้จ่ายในการรับประทาน
อาหารเช่นกันเหมือนกับคนอเมริกาเช่นกัน
12. การส่งเสียงดัง
ในเมืองใหญ่บางคนมีความรู้สึกไวโดยเฉพาะต่อเสียงต่างๆ
ที่เกิด ขึ้นในชีวิตประจำวันและไม่ใจกว้างยอมรับแม้แต่เสียงที่เด็กทำขึ้นจึงขอให้
ระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าอาศัยอยู่ที่บ้านพักรวมอย่างเช่น อพาร์ตเมนท์
โดยทั่วไปหลัง 22:00 น. พยายามอย่าส่งเสียงดังให้คนข้าง
บ้านได้ยิน บางคนทำงานตอนกลางคืน และนอนพัก ตอนกลางวัน
จึงเป็นเวลาสำคัญสำหรับพวกเขา มีบางครั้งสำหรับตัวเองเสียงอาจไม่ดัง
แต่โครงสร้างอาคารอาจทำให้เกิดเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ โดยเฉพาะ การ
ใช้เครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า การเข้าออก การเปิดปิดประตูในตอนกลางคืน
ขอให้ระวังเป็นพิเศษ ถ้ามีปัญหาเรื่องเสียงรบกวน กรณีบ้านพักรวม แจ้งกับ
เจ้าหน้าที่อสังหาริมทรัพย์ที่ทำสัญญาเช่า
นอกเหนือจากนี้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่สมาคม ปกครองตนเอง (จิชิคะอิ)
13.การแต่งกาย
กิโมโน
หรือชุดแต่งกายของชาวอาทิตย์อุทัย มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยเฮอัน หรือตรงกับค.ศ.794-1192 หรือพ.ศ.1337-1735 ก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นสมัยนารา (ค.ศ.710-794) ชาวญี่ปุ่นนิยมแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย
พอมาถึงสมัยเฮอัน ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่กิโมโน
ชาวญี่ปุ่นพัฒนาเทคนิคการตัดชุดเสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าเป็นเส้นตรง
เพื่อให้ง่ายต่อมาสวมใส่ หยิบมาคลุมตัวได้ทันที
ทั้งยังเป็นชุดที่เหมาะกับทุกสภาพอากาศ ถ้าหนาวๆใช้ผ้าหนา
ถ้าเป็นฤดูร้อนก็เปลี่ยนไปใช้ผ้าบางๆ ความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว
โดยในวงการแฟชั่นสมัยนั้นผู้ตัดเย็บก็จะคิดหาวิธีที่ทำให้ชุดกิโมโนมีสีสัน
ผสมผสนานกันด้วยสีต่างๆ ให้เหมาะกับสภาพอากาศและชนชั้นทางสังคม
ถือว่าเป็นช่วงที่ชุดพัฒนาในเรื่อง “สี” มากที่สุด ในยุคคามาคุระ (ค.ศ.1192-1338) และยุคโรมาจิ (ค.ศ.1338-1573) ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะนิยมใส่ชุดกิโมโนที่สีสันแสบทรวง
ยิ่งเป็นนักรบจะต้องยิ่งใส่ชุดที่สีฉูดฉาดมากๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำ
บางครั้งเรียกว่าไปแข่งแฟชั่นกันในสนามรบกันเลยทีเดียว ต่อมาในยุคเอโดะ (ค.ศ.1600-1868) ช่วงที่โชกุนโตกูกาวาปกครองญี่ปุ่น
โดยให้ขุนนางไปปกครองตามแคว้นต่างๆ นั้น
ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักจะแต่งตัวแบ่งแยกตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่าเป็น “ชุดเครื่องแบบ” เลยด้วยซ้ำ ชุดที่ใส่นี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ชุดกิโมโน ชุดคามิชิโม
ตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้งและกางเกงขายาวที่ดูเหมือนกระโปรงแยกชิ้น
ชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้องเนี้ยบมาก ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่พัฒนากิโมโนไปอีกขั้น
จนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง สมัยต่อมาในยุคเมจิ (ค.ศ.1868-1912) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากต่างชาติรุนแรงมาก
ชาวแดนปลาดิบจึงเริ่มเปลี่ยนไปใส่เสื้อสากลมากขึ้น
และจะใส่ชุดกิโมโนเมื่อถึงงานที่เป็นพิธีการ
ซามูไร(Samurai) หมายความว่า ผู้รับใช้
ดาบที่อยู่ในญี่ปุ่นมักไม่เรียกว่า ดาบซามูไร
คนต่างประเทศเท่านั้นที่จะเรียกดาบญี่ปุ่นว่า ดาบซามูไร ซามูไร
เป็นชื่อเรียกของนักรบ หรือเรียกง่ายๆ แบบของยุโรบว่า ฮัศวินลัทธิ
"บูชิโด" สอนให ้เหล่าซามูไร ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ต่อหน้าที่
และจงรักภักดี ต่อเจ้านายของตน ซามูไรถือว่า ความตายเป็นเรื่องเล็กน้อย
ปรัชญาแห่งบูชิโด กล่าวไว้ว่า "ความตายเป็นสิ่งเบาบางยิ่งกว่าขนนก"
ส่วนมาก คนญี่ปุ่นจะ เห็นศักดิ์ศรี เป็นหลัก ชีวิตเป็นรอง จะเห็น
ตัวอย่างถึงทุกวันนี้ เรื่องที่ว่าญี่ปุ่นเป็นชาตินิยม ว่ากันว่าดาบซามูไรนั้น
คมมาก ดาบสามารถ ฟันคอขาดได้ เพียงครั้งเดียว บาดแผลที่ได้รับ จากดาบ จะเจ็บปวดมาก
ซามูไร ยังต้องเรียนรู้ การใช้ดาบ อย่างช่ำชอง ว่องไว และคล่องแคล่ว ให้เปรียบเสมือน
เป็นส่วนหนึ่งของ ร่างกาย จากความสามารถนี้เอง ทำให้ซามูไร เพียงคนเดียว
สามารถสังหารศัตรู ที่รายล้อมตน กว่าสิบคน ได้ภายในชั่วพริบตา
ด้วยดาบเพียงเล่มเดียว แต่ประเพณี การต่อสู้ ของชนชั้นซามูไร คือการต่อสู้
"ตัวต่อตัวอย่างมีมารยาทด้วยดาบ" ผู้แพ้ที่ยังมีชีวิตอยู่
คือผู้ที่ไร้เกียรติ ซามูไรจึง ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ การฆ่าตัวตาย อย่างสมเกียรติ
ด้วยการทำ"เซปปุกุ" ชนิดของดาบซามูไร ดาบมีหลายแบบและหลายประเทศ
แต่สามารถแบ่งชนิดหลักๆ ออกได้ ๓ ชนิดดังนี้ -ดาบยาว (Long Sword) ๑. "ตาชิ" (Tachi) ดาบยาวของทหารม้า มีความโค้งของใบดาบมาก
ใช้ฟันจากหลังม้า มีความยาวของใบดาบมากกว่า ๗๐ เซนติเมตร ๒. "คาตานะ" (Katana) ดาบที่มาแทนที่ดาบตาชิของทหารม้า
ตั้งแต่กลางสมัยมุโรมาชิ (ราว พ.ศ. ๒๐๐๐) สามารถใช้ต่อสู้บนพื้นดินได้คล่องตัวกว่า
เพราะมีความโค้งน้อยควบคุมได้ง่าย ความยาวใบดาบโดยประมาณ ๖๐.๖ เซนติเมตรขึ้นไปถึง
๗๐ เซนติเมตร -ดาบขนาดกลาง (Medium Sword) "วากิซาชิ" (Wakizashi) ดาบที่ใช้พกพาคู่กับดาบคาตานะของซามูไร
ใบดาบมีความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้วถึง ๒๔ นิ้ว ดาบที่ซามูไรใช้สำหรับทำ
"เซปปุกุ" เมื่อยามจำเป็น และเป็นดาบที่ซามูไรสามารถนำติดตัวเข้าเคหสถานของผู้อื่นกรณีเป็นผู้มาเยือนได้โดยไม่ต้องฝากไว้กับคนรับใช้
ตามปกติซามูไรจะพกดาบสองเล่ม และโดยธรรมเนียมห้ามพกดาบยาวเข้ามาในบ้านของผู้อื่น
ต้องฝากไว้หน้าบ้านเท่านั้น -ดาบขนาดสั้น (Short Sword) ๑. "ตันโตะ" (Tanto) มีลักษณะคล้ายมีดสั้น ความยาวน้อยกว่าดาบวากิซาชิ
๒. "ไอกุชิ" (Aikuchi)
คล้ายมีดไม่มีที่กั้นมือ
ใช้สำหรับพกในเสื้อ เหมาะกับสตรี
14.ด้านความเชื่อ
ชาวญี่ปุ่นคงเป็นชาติที่มีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่อศาสนามากที่สุดชาติหนึ่ง
มีคำกล่าวไว้ในกิจกรรมประจำปีว่า “ปีใหม่ไปไหว้เจ้า ช่วงฮิงัง ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงไปไหว้บรรพบุรุษที่วัด
วันคริสต์มาสรับประทานเค้กและให้ของขวัญ” ในส่วนของประเพณีนิยมว่า “ไปนมัสการศาลเจ้าในวันพิธีฉลองครบรอบ 3,5,7 ปี จัดพิธีแต่งงานที่โบสถ์ จัดพิธีศพที่วัด” เป็นการแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในการนับถือศาสนา
คำว่า “ปีใหม่ไปไหว้เจ้า” หมายถึงการไปเยือนศาลเจ้าชินโตในวันปีใหม่
เพื่อสวดอ้อนวอนขอให้ครอบครัวมีความปลอดภัยและสุขภาพพลานามัยที่ดี
ศาลเจ้าที่สำคัญๆคือศาลเจ้าเมจิในโตเกียว คะวะสะขิไดชิ ในจังหวัดคะนะงะวะ,นะริตะซัง ชินโชจิ ในจังหวัดชิบะ คำว่า “ฮิงัง” หมายถึงการไปประกอบพิธีรำลึกในทางพระพุทธศาสนาและการไปเยือนสุสานประจำ
ตระกูล ทำในช่วงเวลาที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากันในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
อีกอย่าง “ฮิงัง หรือโอะฮิงัง” การบรรลุซึ่งพุทธิปัญญาอินะริ
ซึ่งเดิมคือเทพเจ้าแห่งธัญญาหารเป็นที่เคารพบูชาในฟูซิมิชานเมืองเกียวโต
ชินโตอันเป็นศาสนาพื้นเมืองของญี่ปุ่นเป็นศาสนาเพื่อกราบไหว้ขอความคุ้มครองจากเทพเจ้าต่อการเพาะปลูกหรือเผ่าพันธุ์ของตน
ในยุคปัจจุบัน
หนุ่มสาวญี่ปุ่นให้ความสนใจมากขึ้นกับลัทธิลี้ลับหรือศาสตร์เกี่ยวกับ อิทธิฤทธิ์
ปาฏิหาริย์ อภินิหาร เป็นผลทำให้ตั้งแต่ปีทศวรรษที่ 1980
เป็นต้นมาได้เกิดกลุ่มลัทธิศาสนาใหม่ๆเล็กๆน้อยๆจำนวนมากมายซึ่งกล่าวอ้าง
ถึงพลังอำนาจเหนือมนุษย์หรือปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติขึ้น
พระพุทธศาสนาคือแนวคิดอย่างมีระบบอันแรกที่ถูกนำเข้ามาสู่ประเทศญี่ปุ่น
จึงส่งอิทธิพลอย่างมากมายต่อญี่ปุ่นในเวลาต่อมา ในทางวัฒนธรรม อารยธรรม
สถาปัตยกรรม ศิลปะอุตสาหกรรมสำริด แพทยศาสตร์ ไปจนถึงเทคโนโลยีทางการเกษตร
พระพุทธเจ้าที่สำคัญในญี่ปุ่น
1.พระ อมิตาภะพุทธเจ้า
2.พระไวโรจนะ พุทธเจ้า
3. พระไภสัชชคุรุ
นอกจากนั้น
ชาวญี่ปุ่นยังนับถือพระโพธสัตว์ปางต่างๆอีกเช่น
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตา
พระโพธิสัตว์มัญชุศรี
พระโพธิสัตว์แห่งปัญญา
พระโพธิสัตว์สมันตภัทร
พระโพธิสัตว์ผู้ทรงช่วยต่ออายุให้ยืนยาว
พระโพธิสัตว์มหาสถามปราบต์
พระโพธิสัตว์ผู้ทรงคุ้มครองผู้คนจากความหลงผิด
พระโพธิสัตว์กษิติครรภ พระโพธิสัตว์ผู้ทรงคุ้มครองผู้คนทั้งในนรกและสวรรค์
15.ศาสนาของคนญี่ปุ่น
1.นิกายเทนได
2.นิกายชินงอน
3.นิกายโจโด(สุขาวดี) 4.นิกายเซน (ชยานหรือฌาน) 5.นิกายนิชิเรน
วิถีชีวิตนักบวชญี่ปุ่นแบ่งเป็น
2 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มที่รักษาพระวินัยอย่างเคร่งครัด
ถือเพศพรหมจรรย์ ไม่มีภรรยา
(2) กลุ่มที่ถือบวชแบบครอบครัว
มีภรรยาเหมือนชาวบ้านทั่วไป
ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมญี่ปุ่น 1.ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญในรูปธรรมมากกว่านามธรรม
ให้น้ำหนักวิธีการมากกว่าหลักการ
2.วัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นวัฒนธรรมหลากหลาย
ญี่ปุ่นนับถือศาสนาไปหมดทั้งพระเจ้า พระพุทธเจ้า 3.วัฒนธรรม ญี่ปุ่นไม่ได้แตกต่างกั 4.เปลี่ยนวัฒนธรรมอื่นทำให้เป็นของญี่ปุ่น
16.ตุ๊กตากับความเชื่อของชาวญี่ปุ่น
พูดถึงประเทศญี่ปุ่น
นอกเหนือจากเกม การ์ตูน หุ่นยนต์ และสารพัดเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของพวกเขา
เราคงคิดถึงความน่ารักของสินค้าที่ออกไอเดียมาแบบกิ๊บเก๋ แต่สินค้าบางอย่าง
ก็มีที่มาจากความเชื่อของพวกเขา วันนี้por_kk จะพาเพื่อนๆ มาดูส่วนหนึ่งของ
"ตุ๊กตา" ที่มาจากความเชื่อของพวกเขากัน
ตุ๊กตาไล่ฝน
照る照る坊主
(เทะรุเทะรุโบซุ)
คำว่า
เทะรุ (照る) ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า "แดดออก" และ โบซุ (坊主) แปลว่า พระ -- ตุ๊กตาไล่ฝน เป็นตุ๊กตาที่หลายคน
อาจจะเคยเห็นกันมาบ้างแล้วในการ์ตูนเรื่อง "อิกคิวซัง"
โดยจะมีลักษณะเป็นตุ๊กตาผ้าสีขาว หัวกลม และเขียนตา จมูก ปาก
เมื่อทำตุ๊กตาเสร็จแล้วก็ให้นำไปแขวนไว้ที่ระเบียงหรือชายคาของบ้าน
และอธิษฐานให้อากาศวันนี้แจ่มใส ปลอดโปร่ง
หลังจากที่คำอธิษฐานเป็นจริงแล้วก็ให้รินเหล้าสาเกใส่ตุ๊กตา
และผูกกระดิ่งทองให้อีกด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนที่ทำให้คำภาวนาเป็นจริง ในบางโอกาสชาวนาจะแขวนตุ๊กตาไล่ฝนกลับหัวสำหรับขอฝน
ตุ๊กตาฮินะ
雛人形 (ฮินะนิงเงียว)
เป็นตุ๊กตาที่ชาวอาทิตย์อุทัยจะนำออกมาประดับห้องรับแขกในวันที่
3 มีนาคมของทุกปี
เพราะเป็นวันเทศกาลตุ๊กตา หรือวันเด็กผู้หญิง
เป็นเทศกาลที่รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน ตามความเชื่อที่ว่าการปล่อยตุ๊กตาลงน้ำสามารถขจัดเคราะห์ร้ายให้ไปกับตุ๊กตาได้
แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้น จะถือว่าเป็นเทศกาลของการอธิษฐานให้ลูกสาวมีความสุข
พร้อมกับประสบความสำเร็จในชีวิต
สิ่งที่มักพบเห็นได้ในช่วงเทศกาลนี้คือการประดับด้วยชุด
ตุ๊กตาฮินะที่ว่านี้ ซึ่งตุ๊กตาดังกล่าวเป็นแบบดั้งเดิมทำด้วยมือ
แต่งกายตามราชสำนักญี่ปุ่นโบราณ สมัยยุคเฮอัง วางไว้บนชั้นปกติจะมีทั้งหมด 7 ชั้น รอบๆ
ชั้นจะประดับด้วยเครื่องบูชา เช่น ดอกพีช ข้าว เค้ก
และเค้กที่ทำจากข้าวรูปร่างคล้ายเพชร ซึ่งเรียกว่าฮิชิโมจิ (hishimochi) รวมไปถึงสาเกขาว และจิราชิซูชิ (chirashi sushi) ตุ๊กตาที่นำมาเรียงในครั้งนี้จะเรียงตามตำแหน่ง
โดย...
ชั้นบนสุด
คือ จักรพรรดิ และจักรพรรดินี
ชั้นที่
2 คือ นางสนองพระโอษฐ์ 3 คน
ชั้นที่
3 คือ นักดนตรี 5 คน
ชั้นที่
4 คือ ทหารรับใช้ยืนอยู่ด้านซ้ายขวา
และขนมโมจิ ชุดถ้วยชามขนาดเล็กจะอยู่ตรงกลางชั้น
ชั้นที่
5 คือ ต้นส้มจะอยู่ทางด้านซ้าย
และต้นซากุระจะอยู่ทางด้านขวา ส่วนตรงกลางจะเป็นทหารรักษาพระองคื 3 คน
ชั้นที่
6 คือ เครื่องเรือนต่างๆ
ชั้นที่ล่างสุด
คือ เกี้ยวและรถเทียบม้า
ตุ๊กตาดารุมะ
だるま
เป็นตุ๊กตาไม้
ของญี่ปุ่น มีลักษณะกลมไม่มีแขนและขา โดยหน้าตาจะคล้ายคลึงกับพระโพธิธรรม
(ซึ่งชื่อว่า ดะรุมะ ในภาษาญี่ปุ่น) มีหมวดและเครา ชาวญี่ปุ่น
เป็นตุ๊กตาที่ช่วยให้สมความปรารถนา โดย "ดารุมะ"
เป็นชื่อเจ้าชายของอินเดียรูปหนึ่งที่เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นเพื่อเผย
แพร่ศาสนาพุทธนิกายเซน
ซึ่งท่านมีความเพียรพยายามนั่งหันหน้าเข้ากำแพงติดต่อกันเป็นเวลา 8 ปี ท่านจึงบรรลุอรหันต์
เพราะเหตุนี้เองชาวแดนปลาดิบจึงมักจะนิยมเข้าไปอธิษฐานต่อตุ๊กตาและวาดรูปตา
หนึ่งข้าง หากสิ่งที่อธิษฐานไว้เป็นจริงพวกเขาก็จะวาดรูปตาอีกข้างโดยส่วนมากตุ๊กตาดะรุมะจะมีสีแดง
แต่อาจจะมีสีอื่นบ้าง เช่น สีเหลือง สีเขียว หรือสีขาว
ตรงบริเวณคางจะมีการเขียนคำขอพรไว้
สาเหตุที่ตุ๊กตาดะรุมะมีสีแดงนั้น
บ้างก็ว่าเพราะมีตำนานเล่าขานว่า พระโพธิธรรมท่านมักสวมเสื้อผ้าสีแดง
บ้างก็ว่าเพราะในสมัยก่อนมีความเชื่อว่าสีแดงจะช่วยขับไล่มารร้าย
และช่วยขจัดปัดเป่าเชื้อโรคฝีดาษ (ไข้ทรพิษ) ด้วย เนื่องจากมีความเชื่อว่า
"เทพฝีดาษ" ที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษนั้นไม่ชอบสีแดง
ด้วยเหตุนี้คนญี่ปุ่นจึงได้มีการมอบตุ๊กตาดะรุมะให้แก่เด็กๆ เป็นของเล่น
เพื่อที่ดะรุมะจะได้ช่วยขับไล่มารร้ายและโรคฝีดาษให้ไปจากเด็กๆ
ในช่วง
พ.ศ. 2538- 2543 ได้มีกลุ่มนักคุ้มครองสิทธิ
ได้มีการเรียกร้องขึ้น กล่าวหาว่าวัฒนธรรมการเติมตาให้ดะรุมะ
เป็นการล้อเลียนคนตาบอดตุ๊กตาแมวกวัก 招き猫 (มาเนะกิ เนะโกะ)
เป็นรูปปั้นแมวตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นว่าจะนำโชค
นำลาภ สำหรับร้านค้าก็จะดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านเช่นเดียวกับนางกวักของไทย
หน้าตาของแมวมาเนะกิ เนะโกะ นี้
คล้ายคลึงกับแมวพันธุ์พื้นเมืองของญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่ไม่มีหาง ที่เรียกว่า
เจแปนนิส บ๊อบเทล (Japanese
Bobtail)
ตำนานของมาเนะกิ
เนะโกะ มีหลายเรื่อง เรื่องที่ขึ้นชื่อ คือ เรื่องที่เล่ากันว่าเกิดขึ้นในยุคเอโดะ
มีหญิงชราคนหนึ่ง ยากจนมาก แต่นางมีแมวเลี้ยงอยู่ตัวหนึ่งและรักแมวมาก
มีกินก็กินร่วมกับแมว อดก็อดพร้อมกับแมว จนในที่สุดก็ไม่สามารถเลี้ยงไหว
จึงนำไปปล่อยคืนนั้นเอง นางก็นอนเสียใจร้องไห้ทั้งคืน กระทั่งฝันว่าแมว มาบอกกับนางว่า
ให้ปั้นรูปแมวจากดินเหนียวแล้ว นางจะโชคดี เช้าวันรุ่งขึ้น
หญิงชราจึงตื่นขึ้นมาปั้นแมวจากดินเหนียว
ไม่ทันไรก็มีคนแปลกหน้าเดินผ่านหน้าบ้านขอซื้อตุ๊กตาแมวตัวนั้นจากนางไปจากนั้นนางก็เพียรปั้นแมวขึ้นมาอีกตัวแล้วตัวเล่า
ตุ๊กตาแมวจากการปั้นของนางก็ถูกคนมาขอซื้อไปตลอดเวลา
นางจึงเริ่มมีเงินทองจากการขายตุ๊กตาแมว
และสามารถนำแมวเลี้ยงสุดที่รักของนางกลับมาเลี้ยงได้อีกครั้งหนึ่งตั้งแต่นั้นมา
ก็เลยเป็นที่ร่ำลือว่า แมวเป็นสัตว์นำโชค จึงมีการปั้นและวางแมวกวักไว้ตามที่ต่าง
ๆ นับแต่นั้นมา
ปัจจุบัน
ตามสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่นหรือแม้แต่ในประเทศไทยเอง ก็ตาม สามารถพบเห็น
มาเนะกิ เนโกะ อยู่ทั่วไป มีหลากหลายขนาดและสีสัน
บางส่วนก็ทำกลไกให้มือซ้ายสามารถขยับในลักษณะกวักเข้าหาตัวได้ด้วย
ในขณะที่มืออีกข้างนึงก็ถือเหรียญไว้ เพราะมีความเชื่อว่า
ถ้าแมวที่เลี้ยงไว้ยกขาหน้าขึ้นเสมอหูข้างซ้ายแล้ว จะมีคนมาหา
ถ้าเป็นร้านค้าก็จะมีลูกค้าเข้าร้าน
17.ภาษาของญี่ปุ่น
ภาษาญี่ปุ่น
ภาษาราชการ
: ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาเดียวที่ใช้ทั่วประเทศ แต่ว่าจะมีความแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค
ซึ่งจะมีภาษาท้องถิ่นของตนเอง แต่จากจำนวนคนญี่ปุ่นที่มีมากกว่า 120 ล้านคน
ทำให้ภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาที่มีผู้ใช้มากเป็นอันดับที่ 10 รองจากภาษาจีน , อังกฤษ , รัสเซียและอื่น ๆ ภาษาอังกฤษ
จะใช้ได้บ้างก็เฉพาะในบริเวณสนามบิน โรงแรมใหญ่ ๆ หรือสถานที่ราชการบางแห่ง
ที่ต้องมีการติดต่อสื่อสารกับคนต่างชาติ แต่โดยทั่วไปแล้ว กล่าวได้ว่า
คนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีจะมีน้อยมาก
เด็กนักเรียนญี่ปุ่นจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ เมื่ออยู่ชั้น ม.1 ( เกรด 7 )
และด้วยระบบการสอนที่เน้นการให้ข้อมูล
การท่องจำเพื่อสอบแข่งขันมากกว่าการใช้ในชีวิตจริง
จึงทำให้เด็กญี่ปุ่นไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่อาจจะเขียนและอ่านได้ดีกว่า
ดังนั้น สำหรับชาวต่างชาติแล้ว หากไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย ก็จะลำบากต่อการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นมากทีเดียว
ตัวอักษร
: ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลการเขียนตัวอักษรแบบจีน และวัฒนธรรมจีนมา
ตั้งแต่เมื่อคริสตศตวรรษที่ 7 และ 8 ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ดังจะเห็นได้จากตัวหนังสือที่ใช้อยู่ 3 แบบคือ แบบที่ 1 และแบบที่ 2 คือ ฮิรางานะ
( Hiragana ) และ คาตากานะ ( Katagana ) ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นในญี่ปุ่น
จากการย่ออักษรจีนบางตัว ทั้งสองแบบมีตัวอักษรอย่างละ 46 ตัว
และแสดงเสียงตามพยางค์ แบบที่ 3 คือคันจิ ( Kanji ) เป็นตัวอักษรจีน
ซึ่งเป็นอักษรภาพที่แสดงความหมายในตัวเอง อักษรจีนที่ถูกใช้อยู่มีประมาณ 3,000 ตัว แต่จำนวนอักษรจีนที่ถูกระบุอย่างเป็นทางการ
ว่าใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันมีเพียง 1,945 ตัวเท่านั้น ในการเขียนประโยคต่าง ๆ
จะใช้อักษรจีนผสมกับอักษรแบบฮิรางานะ สำหรับชื่อสถานที่ ชื่อเฉพาะอื่น ๆ
ที่มาจากอเมริกา ยุโรป และประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อักษรแบบจีน
รวมถึงคำศัพท์เทคนิคซึ่งยืมจากภาษาต่างประเทศ จะเขียนด้วยอักษรคาตะกานะ
ภาษาญี่ปุ่นอาจเขียนในแนวดิ่งจากข้างบนลงข้างล่างก็ได้
หรือจะเขียนตามขวางจากซ้ายไปขวาก็ได้
15
เรื่องสุดแปลกของ “วัฒนธรรมญี่ปุ่น”!!
ประเทศญี่ปุ่นในสายตาของโลกตะวันตกนั้น
มักจะเป็นความผสมผสานกันระหว่าง ชาติที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยสุดๆ ผสมกับ “วัฒนธรรมญี่ปุ่น”
ที่เข้าใจยากสุดๆ แต่จะเป็นอย่างไร เรามาย้อนอดีตกันซักนิด
เมื่อญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ก็ได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้คนทั้งโลกเห็น
คือใช้เวลาไม่นานในการสร้างความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้จากที่ไม่เหลืออะไรเลย
แถมยังโดนระเบิดนิวเคลียร์ที่ Hiroshima และ Nagasaki อีกด้วย
หลังจากนั้นเราเริ่มเห็นการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีวัฒนธรรมญี่ปุ่น
ที่ส่งออกมาภายนอกให้เราได้ชื่นชมกันอย่างเช่นภาพยนตร์ Godzilla หรือ
หนัง Seven Samurai จาก Akira Kurosawa เป็นต้น
18.Capsule Hotel
สำหรับมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นที่ทำงานหนัก
คงรู้จักสถานที่แบบนี้ดี สำหรับวันที่เขาทำงานมาเหนื่อยๆ เลิกดึก
การจะกลับบ้านบางทีใช้เวลาเป็นชั่วโมง แถมต้องวิ่งให้ทันรถไฟขบวนสุดท้ายอีก
และอีกใจหนึ่งก็อยากดื่มเบียร์สักขวด สองขวดกับเพื่อนร่วมงานก่อนนอกอีก เพื่อคลายเครียด
โรงแรมแคบซูลที่ราคาถูก สะดวก หาง่าย เป็นเพียงช่องไว้นอนทับๆ กันเป็นชั้นแบบนี้
จึงเป็นคำตอบให้กับคนเหล่านี้เป็นอย่างดี ส่วนชาวตะวันตกหลายๆ
คนพอมาเห็นเข้าก็ถึงกับงงเลยทีเดียว ว่ามีแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย
19.การซดบะหมี่เสียงดัง
วัฒนธรรมเรื่องทานอาหารจะต่างกันออกไปในแต่ละที่
อย่างเช่นในเรื่องนี้ การซดอาหารเส้น หรือซุปเสียงดัง ถ้าเป็นที่ดินแดนตะวันตก
คงหาว่าคุณไม่มีมารยาทเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณมาทานเงียบๆ ไม่มีเสียงเลยที่ญี่ปุ่น
โดยเฉพาะการซดบะหมี่นั้น มันเป็นการบอกกับพ่อครัวว่า อาหารที่คุณกินอยู่นั้น “ไม่อร่อย”
เพราะฉะนั้น หากไปญี่ปุ่น ยิ่งซดดัง ยิ่งอร่อย!
20 KFC ในวัน
Christmas Eve
KFC เข้ามาญี่ปุ่นในปี 1970s และในอดีตนั้น
ชาวตะวันตกที่ทำงานที่นี่จะฉลองวันคริสต์มาสด้วยการทานไก่ KFC เพราะมันใกล้เคียงสิ่งที่พวกเขากินที่บ้านมากที่สุดแล้วในเวลานั้น
แต่มันกลับกลายเป็นคนญี่ปุ่นก็นำวัฒนธรรมนี้ไปใช้ด้วย จนในปัจจุบัน คุณต้องสั่ง KFC
ล่วงหน้ากว่า 2 เดือนก่อนวันคริสต์มาส เพราะความต้องการจะสูงมาก
21 Ganguro (Schoolgirl Blackface)
Ganguro หรือ Schoolgirl blackface คือวัฒนธรรมที่แปลกแต่จริง
เคยเป็นที่นิยมมากในช่วงปี 1990s และยังพบบ้างในปัจจุบัน
โดยจะเป็นการแต่งหน้าสีเข้มๆ ดำๆ ทำผมสีอ่อนๆ แรงๆ และในบางเคสที่แรงสุดๆ คือ
ทำหน้าสีดำเลยก็มี แต่ในวัฒนธรรมแบบนี้เอง ก็มีแบ่งเป็นวัฒนธรรมย่อยๆ
อีกหลายแบบด้วยกัน
22.Soine-ya หรือ ‘Cuddle Café’
ญี่ปุ่น คงเป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ในโลก
ที่การเป็นโสเภณี ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าเพียงอย่างเดียว
เพราะที่นี่มีโสเภณีหลายแบบมาก เพียงแค่การให้บริการ อยู่เป็นเพื่อน เพื่อแลกเงิน
ไม่จำเป็นต้องจบลงบนเตียงเท่านั้น และที่แปลกๆ ที่เราเอามาฝากคือ Soine-ya หรือ
‘Cuddle Café’ โดยคนโสดจะจ่ายเงินสำหรับ 1 หรือ 2
ชั่วโมงเพื่อจะได้นอนลงบนเตียงกับสาวสุดน่ารัก แต่ที่ทำได้คือแค่นอนกอดเท่านั้น
23. Inemuri (การหลับในระหว่างงาน)
มนุษย์เงินเดือนที่ญี่ปุ่นทำงานหนักมาก
ทำงานยาวมาก และทำงานเครียดมาก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้มีวัฒนธรรม Inemuri หรือ
Work Naps ซึ่งแปลว่าการงีบในระหว่างการทำงานเกิดขึ้น
ซึ่งที่แปลกมันอยู่ตรงที่ หากเจ้านายคุณมาเห็นว่าคุณหลับบนโต๊ะนั้น เขาจะไม่ว่า
ไม่ปลุก แต่จะยิ้ม และอนุญาตเพราะนั่นคือ สัญญาณบอกว่าคุณทำงานหนักนั่นเอง
24. Karoshi (การตายจากการทำงานหนัก)
จากที่บอกในข้อที่แล้วคือ คนทำงานที่ญี่ปุ่น
เป็น ทำงานหนักมาก ทำงานยาวมาก และทำงานเครียดมาก และมันส่งผลให้เกิด Karochi
คือการตายเพราะทำงานหนัก โดยจะเป็นการตายก่อนวัยอันควรนั่นเอง
ซึ่งนับเฉพาะการตายจากธรรมชาติเท่านั้น ไม่นับการฆ่าตัวตายเพราะความเครียด
เพราะถ้ารวมการฆ่าตัวตายเพราะความเครียดด้วยละก็ มีคนบอกว่า
จำนวนสถิติทะลุเป้าแน่ๆ
25.Sexy Anime ในทุกที่ที่คุณไป
หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นสั่งห้ามการใช้คนจริงๆ
โป๊เปลือยมาโฆษณาสินค้า บรรดาพ่อค้าหัวใสจึงหันมาใช้สิ่งที่ดีที่สุดรองลงมาแทนก็คือตัวการ์ตูนเซ็กซี่
โป๊เปลือยแทน ซึ่งอยากจะบอกว่า มันอยู่ทุกที่จริงๆ เพราะฉะนั้น เตรียมตัวให้พร้อม
ถ้าคุณต้องไปญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้
26. ตู้ขายของยอดเหรียญที่ขาย “ทุกอย่าง”
หากพูดถึงตู้ขายของหยอดเหรียญ
หลายคนอาจจะบอกว่า ก็ไม่เห็นแปลก แต่หยุดก่อน เพราะที่ญี่ปุ่นแปลกจริงๆ
แปลกตรงที่ว่า นอกจากคุณจะเจอมันได้ทุกที่แล้ว มันยังขายทุกอย่างอีกด้วย
นอกจากอาหารปรุงสำเร็จใหม่ๆ แล้วยังมี ร่ม Sex toy กางเกงใน
เป็นต้น
27. Aokigahara (Suicide Forest) หรือ
ป่าแห่งการฆ่าตัวตาย
ป่าแห่งนี้อยู่ใต้ภูเขาฟูจิ
ซึ่งมันเต็มไปด้วยต้นไม้ที่หนาแน่นมาก
จนไม่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่จนทำให้ป่าแห่งนี้เงียบมาก และทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย
เลือกที่นี่เป็นที่ปลิดชีพตนเอง
และที่นี่ยังเป็นที่กล่าวขานว่ามีปีศาจและวิญญาณในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นวนเวียนอยู่ด้วย
รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามแก้ไขไม่ให้คนไปฆ่าตัวตายโดยการติดป้ายไว้มากมายตรงทางเข้าว่า “ครอบครัวของคุณรักคุณ”
เพื่อเตือนสติ แต่ก็ไม่ช่วยอะไร
จนที่นี่กลายเป็นที่ที่มีคนตายเป็นอันดับที่ 2 รองจากสะพานโกลเดน เกตที่สหรัฐฯ
ไปแล้ว!
28. Kancho
Kancho คือการแกล้งกันสำหรับเด็กๆ ญี่ปุ่น
ที่บางทีก็ดูจะเป็นการคุกคามทางเพศได้ เพราะมันคือการทำมือเป็นรูปปืน
และเข้าไปข้างหลังของเป้าหมาย ร้องว่า KAN-CHOOOOO!!!! และแทงไปที่ก้น
ซึ่งหลายๆ ครั้งอาจเกิดการบาดเจ็บได้เลยทีเดียว แต่นี่คือวัฒนธรรมที่มีอยู่จริง
29.Mascot
แสนน่ารัก
คงไปต้องพูดอะไรมากกับเรื่องของตัวมาสคอต
เพราะที่เราว่าแปลกไม่ใช่เรื่องอะไร แต่การที่คนญี่ปุ่น เอามาสคอตน่ารักๆ
มาเป็นตัวแทนเกือบทุกอย่าง
ไม่ว่าข้อความที่จะส่งถึงคนที่ผ่านไปผ่านมาจะซีเรียสแค่ไหน ก็ยังผ่านตัวมาสคอตน่ารักๆ
ได้ เช่น รณรงค์ลดการสูบบุหรี่ รณรงค์เพื่ออบรมการหนีไฟในรถไฟใต้ดิน เป็นต้น
30. ความสุภาพอย่างสุดๆ
‘Arigatou gozaimasu!’ หรือที่แปลว่าขอบคุณมากๆ
คือสิ่งที่คุณจะได้ยินจนหูชาแน่ๆ ถ้าคุณเดินไปในเมืองของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นถนน
ร้านอาหาร ที่ทำงาน
ประกอบกับการก้มหัวลงเล้กน้อยอย่างไม่เป็นทางการเพื่อเป็นการทำความเคารพ
โดยเฉพาะตามร้านอาหาร คุณจะพบเห็นบ่อยมากๆ
และเวลาที่คุณขึ้นขนส่งสาธารณะคุณเห็นคนที่เด็กๆ หรือหนุุ่มๆ สาวๆ
ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเวลามีคนแก่เข้ามา เป็นต้น
31. Lolita Complex หรือ
การชอบ “เด็กผู้หญิง”
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ วัฒนธรรมการชอบ “เด็กผู้หญิง”
คนของกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะตัวละครในสื่อต่างๆ
ตัวละครเด็กนักเรียนญี่ปุ่น ในชุดนักเรียน
ที่ถูกนำมาเป็นวัตถุทางเพศมากขึ้นเรื่องๆ
และคนเหล่านี้ที่มีรสนิยมแบบนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเขาไม่รู้สึกแปลกแยกในสังคม
เพราะมันมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ปลอดอาชญากรรม
ในทางปฏิบัติแล้ว
อาชญากรรมในญี่ปุ่นคือไม่มีเลย ตามสถิตินั้น การฆาตกรรมต่อคน 100,000
คน ตัวเลขของญี่ปุ่นคือ 0.3 ซึ่งน้อยที่สุดในประเทศอุตสาหกรรม มีเพียง 2
ประเทศที่ตัวเลขน้อยกว่านี้คือ Monaco และ Lichtenstein ที่เป็น
2 ประเทศเล็กๆ ที่มีแต่คนรวยอยู่เท่านั้น โดยญี่ปุ่นนั้นมีอาชญากรรมเพียงแค่ไม่ถึง
500 ครั้งต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ
มันดีมากๆครับทำต่อไปนะครับผมตลกตรงKanchoo5555
ตอบลบอ่านจนเพลีนเลยคับดีฯฯ
ตอบลบGBA and TV Commercial - YouTube
ตอบลบWatch GBA and TV youtube mp3 Commercial This channel was created by SBC for the first time ever in 2019. You can watch this stream live on Youtube, Youtube,
Harrah's Casino and Resort – Jackson - KTM Hub
ตอบลบ› business 경기도 출장샵 › harrahs-casino 거제 출장샵 구미 출장안마 › business › harrahs-casino Jan 1, 2021 — Jan 제주 출장샵 1, 2021 Harrah's 제주도 출장샵 Cherokee Casino Resort is located in Jackson, North Carolina. The casino is owned by the Eastern Band of Cherokee Indians.